

ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เรียกว่า “บัตรเครดิต” เป็นเสมือนปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ด้วยจุดเด่นของบัตรเครดิตที่สามารถใช้แทนเงินสดได้ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของตามร้านค้าต่างๆที่ให้บริการครอบคลุมทุกประเทศเกือบทั่วโลกรวมทั้งการช๊อปปิ้งออนไลน์ จึงไม่น่าแปลกใจ ถ้าผู้คนในยุคนี้จะให้ความสำคัญกับการใช้บัตรเครดิตเป็นจำนวนมาก
และด้วยปริมาณความต้องการใช้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ธนาคารส่วนใหญ่จึงยกให้ “บัตรเครดิต” เป็นสินค้าหลักที่ทำผลกำไรให้กับองค์กร แต่เนื่องด้วยธุรกิจบัตรเครดิตเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนจำนวนมาก ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ออกประกาศกฏเกณฑ์เกี่ยวกับธุรกิจบัตรเครดิตเพื่อกำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งเราในฐานะผู้บริโภคหากต้องการสมัครบัตรเครดิตสักใบ การศึกษาหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและเงื่อนไขต่างๆที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ
อันดับแรก : ทำความรู้จักวงการธุรกิจบัตรเครดิต
ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต หมายถึง ธนาคารต่างๆที่เป็นผู้ออกบัตรเครดิต
ผู้ถือบัตรเครดิต หมายถึง ประชาชนทั่วไป
บัตรหลัก หมายถึง บัตรที่ธนาคารออกให้แก่ประชาชนทั่วไปที่มีรายได้หรือฐานะทางการเงินเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ตามบัตรเครดิตได้
บัตรเสริม หมายถึง บัตรที่ธนาคารออกให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยใช้วงเงินร่วมกับบัตรหลัก และผู้ถือบัตรหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
อันดับที่สอง : ศึกษาคุณสมบัติผู้ถือบัตรเครดิต
ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติผู้ขอมีบัตรเครดิตดังนี้
* ต้องเป็นผู้มีรายได้รวมกันไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 180,000 บาทต่อปี ซึ่งต้องแสดงหลักฐานถึงแหล่งที่มาของเงินได้
* ต้องมีกระแสเงินสดเข้า เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือนซึ่งต้องสามารถแสดงหลักฐานเป็นบัญชีเงินฝากย้อนหลังไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
* สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือนจะต้องมีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ หรือตราสารหนี้ หรือลงทุนในกองทุนรวมที่ออกโดยธนาคารพาณิชย์ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจซึ่งต้องมีเอกสารที่รับรองโดยกฏหมายชัดเจนเป็นหลักประกันให้กับวงเงินที่อนุมัติในบัตรเครดิต
เนื่องจากผู้ที่ถือบัตรเสริมอาจจะเป็นลูกหรือภรรยาที่ไม่มีรายได้ของผู้ถือบัตรหลัก ดังนั้นทางธนาคารจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาคุณสมบัติดังที่กล่าวมา แต่ก็มีกฏข้อบังคับที่ว่า การใช้บัตรเสริมจะมีวงเงินการใช้จ่ายอยู่ภายใต้บัตรหลักเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น หากสามีมีวงเงินในบัตรหลักทั้งหมด 100,000บาท และเดือนนี้ใช้ไปแล้วทั้งสิ้น 70,000 บาท ภรรยาผู้ถือบัตรเสริมจะสามารถใช้วงเงินได้เพียง 30,000 บาทเท่านั้น และยอดหนี้ 100,000 บาทที่เกิดขึ้น ผู้ที่ถือบัตรหลักจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
อันดับที่สาม : เรียนรู้เงื่อนไขการอนุมัติวงเงินและการกำหนดวงเงิน
ในอดีตเพียงท่านมีรายได้มากกว่า 15,000 บาท ท่านก็จะอาจจะได้รับอนุมัติวงเงินที่สูงเพียงแต่กำหนดไม่เกิน 5 เท่าของรายได้ แต่ด้วยปัจจุบันสินเชื่อชนิดนี้เข้าถึงผู้คนได้ง่าย และด้วยการอนุมัติวงเงินที่สูง ประชาชนบางกลุ่มจึงขาดวินัยในการใช้บัตรเครดิตก่อให้เกิดภาระการเป็นหนี้
ซึ่งจากรายงานในปี 2559 ที่ผ่านมา คนไทยมีหนี้มากกว่า 21 ล้านคน หรือคิดเป็น 30% ต่อจำนวนประชากรทั้งประเทศ อีกทั้งมีค่าเฉลี่ยปริมาณหนี้ต่อหัวสูงถึง 150,000 บาทและ 16% จากจำนวนผู้ที่เป็นหนี้มีการค้างชำระนานกว่า 90 วันและมีแนวโน้มที่จะเป็นหนี้เสีย(NPL) ซึ่งต้องได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ออกหลักเกณฑ์การอนุมัติวงเงินในบัตรเครดิต โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไปดังนี้
มาตรการสำหรับสินเชื่อบัตรเครดิต
ยกตัวอย่างเช่น หากสมศรีมีรายได้ 40,000 บาท สมศรีจะมีสิทธิได้รับวงเงินอนุมัติสูงสุดที่ 120,000 บาท
ทั้งนี้ผู้ใช้บริการบัตรเครดิตสามารถขอเพิ่มวงเงินชั่วคราวเพื่อใช้ยามฉุกเฉินได้ โดยติดต่อที่ทางธนาคารโดยตรงและหลักเกณฑ์อนุมัติวงเงินนี้ใช้เฉพาะผู้สมัครบัตรใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2560 เป็นต้นไปและไม่ส่งผลกระทบกับผู้ถือบัตรเดิม
มาตรการสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีประกัน เช่น บัตรกดเงินสด
มาตรการเดิม
มาตรการใหม่
หากรายได้ < 30,000 วงเงินอนุมัติสูงสุดจะ ≤ 1.5 เท่าของรายได้ต่อผู้บริการไม่เกิน 3 ราย
หากรายได้ ≥ 30,000 วงเงินอนุมัติสูงสุดจะ < 5 เท่าของรายได้
ยกตัวอย่างเช่น หากสมศรีมีรายได้ 25,000 บาท สมศรีจะมีสิทธิได้วงเงินอนุมัติสูงสุดที่ 37,500 บาทและสมัครบัตรกดเงินสดได้ไม่เกิน 3 ใบเท่านั้น
อันดับที่สี่ : เข้าใจเงื่อนไข ดอกเบี้ย ค่าบริการ และค่าธรรมเนียของบัตรเครดิต
สำหรับค่าบริการรายปี และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ทางธนาคารจะต้องทำหน้าที่แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรในเอกสารอนุมัติบัตรเครดิต ซึ่งในส่วนนี้ธนาคารมีสิทธิในการเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้แต่ต้องแจ้งผู้ถือบัตรให้ทราบโดยการปิดประกาศหรือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน และผู้ใช้งานจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจก่อนการเปิดใช้งานบัตรเครดิต
ในส่วนของดอกเบี้ยบัตรเครดิต เนื่องจากผลการสำรวจรายงานว่าในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บัตรเครดิตมากถึง 6.7 ล้านคนและถือบัตรเครดิตรวมทั้งสิ้น 19.8 ล้านใบ ดังนั้นเพื่อให้ภาระดอกเบี้ยไม่เป็นปัญหากับสภาพคล่องทางการเงินกับผู้บริโภคจนเกินไป ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีการปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลง ซึ่งใช้กับลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ จาก 20% ต่อปีเหลือเพียง 18% ต่อปี
เห็นมั้ยคะว่า หากคิดจะทำบัตรเครดิตสักใบ นอกจากต้องพิจารณาคุณสมบัติของตัวเองให้ตรงตามที่ธนาคารกำหนดแล้วการศึกษาเงื่อนไขการอนุมัติวงเงิน รวมทั้งกฏเกณฑ์การชำระดอกเบี้ยยังเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อให้บัตรเครดิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางด้านการเงินที่ให้ประโยชน์สูงสุดกับการใช้ชีวิตของเรานั่นเอง
ที่มา :