“ในหนึ่งวันคุณรับโทรศัพท์จากธนาคารที่โทรเข้ามา..เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านบัตรเครดิตวันละกี่สายกันคะ”
เพราะในปัจจุบันการจะทำบัตรเครดิตสักใบไม่ใช่เรื่องยากและมีวิธีการที่ซับซ้อนอีกต่อไป โดนเฉพาะอย่างยิ่ง พนักงานประจำทุกท่านที่มีสลิปเงินเดือนเป็นใบเบิกทางในการทำธุรกรรมทางการเงินแทบทุกประเภท ดังนั้นการจะทำเครดิตสักใบเพียงแค่เลือกประเภทบัตรเครดิตตามที่พนักงานขายส่วนใหญ่แนะนำ กรอกเอกสารและส่งเอกสารออนไลน์ เพียงเท่านี้ท่านก็ได้บัตรเครดิตมาครอบครองเพียงในระยะเวลาไม่กี่วัน
แต่ในความเป็นจริง การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตก็เหมือนการใช้จ่ายในวงเงินกู้ประเภทหนึ่ง ซึ่งเมื่อใช้บริการสินเชื่อประเภทนี้ก็ต้องจ่ายต้นทุนทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม ค่าดอกเบี้ยและความเสี่ยงต่างๆให้กับเจ้าของธนาคารผู้ออกบัตร ซึ่งเรื่องเหล่านี้ ดิฉันเชื่อแน่ว่า พนักงานขายบัตรเครดิตส่วนใหญ่ไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ผู้บริโภคได้รับทราบ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่นภาระหนี้สินตามมาในภายหลัง ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจทำบัตรเครดิตสักใบ เรื่องสำคัญต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้
ค่าธรรมเนียมเปรียบเสมือนเงินที่จ่ายเป็นค่าบริการการใช้งานให้กับธนาคารผู้ออกบัตรเครดิต เพราะความสะดวกสบายในการใช้จ่ายออนไลน์ หรือรูดซื้อสินค้าและบริการต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางการเงินที่สูงของธนาคาร เช่น ค่าระบบในการดำเนินการ ค่าพนักงานเป็นต้น ดังนั้น ธนาคารส่วนใหญ่จึงคิดค่าธรรมเนียมในการใช้สมัครบัตรเครดิต โดยแบ่งเป็น
หากผู้ใช้งานบัตรเครดิตจ่ายชำระค่าสินค้าและบริการครบยอดหนี้และชำระก่อนวันที่ธนาคารกำหนดในใบแจ้งหนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้น เพราะโดยทั่วไปทุกธนาคารจะให้ระยะเวลาปลอดการชำระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเป็นระยะเวลา 45 วัน นับจากวันสรุปยอดบัญชี
ยกตัวอย่างเช่น
หากบัตรเครดิตของนายเอ สรุปยอดทุกวันที่ 6 ของทุกเดือน ครบรอบชำระวันที่ 21 วงจรการจ่ายเงินบัตรเครดิตจะเป็นดังนี้
หากใช้จ่ายวันที่ 07/08/2017 ก็จะไปตัดยอดวันที่ 06/09/2017 ชำระเงิน 21/09/2017 ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 45 วัน
หากใช้จ่ายวันที่ 08/08/2017 ก็จะไปตัดยอดวันที่ 06/09/2017 ชำระเงิน 21/09/2017 ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 44 วัน
หากใช้จ่ายวันที่ 09/08/2017 ก็จะไปตัดยอดวันที่ 06/09/2017 ชำระเงิน 21/09/2017 ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 43 วัน
.
.
.
หากใช้จ่ายวันที่ 06/09/2017 ก็จะไปตัดยอดวันที่ 06/09/2017 ชำระเงิน 21/09/2017 ระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย 15 วัน
และยอดการใช้งานตั้งแต่วันที่ 07/09/2017 เป็นต้นไปก็จะคิดเป็นอีกยอดบิลนึง
หากยอดการใช้จ่ายของวันที่ 06/08/2017 จนถึง 06/09/2017 ไม่ได้รับการชำระเต็มยอดหรือเรียกว่าการจ่ายขั้นต่ำ(10%) ก็จะต้องมีการเสียดอกเบี้ยให้กับธนาคารดังนี้
หากใช้งานบัตรเครดิตในวันที่ 07/08/2017 จำนวนเงิน 10,000 สรุปยอดวันที่ 06/09/2017 หลังจากสรุปยอดชำระเงินประมาณ 2 อาทิตย์จะมีบิลเรียกเก็บยอดหนี้นี้มาในวันที่ 21/09/2017 ซึ่งจะมีดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นดังนี้
** สูตรคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต = (ยอดค่าใช้จ่ายบัตรเครดิต x อัตราดอกเบี้ย 20% ต่อปี x จำนวนวัน) /365**
(10,000 x 20% x 30) / 365 = 164.38 บาท
(10,000 x 20% x 14) /365 = 82.19 บาท
ซึ่งดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นนี้หากชำระเต็มจำนวนในวันที่ 21/09/2017 ธนาคารจะไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น แต่หากชำระแค่ขึ้นต่ำเพียง 10% ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเต็มในวันที่ 21/09/2017 คือ 164.38 + 82.19 = 246.57 บาท
และเมื่อครบกำหนดการชำระบิลในรอบบิลถัดไปคือ 21/10/2017 ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยยอดคงค้างดังนี้
(9,000 x 20% x 15) / 365 = 73.97 บาท
(9,000 x 20% x 15) / 365 = 73.97 บาท
รวมเงินดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในรอบบิลที่สองทั้งสิ้น 147.94 บาท และเมื่อหากเลือกที่จะจ่ายเพียงขั้นต่ำต่อไป ธนาคารก็จะนำเงินขั้นต่ำมาหักออกจากเงินต้น แต่ยังคงดอกเบี้ยที่ 20% เท่าเดิม ซึ่งยิ่งชำระเงินต้นล่าช้าก็จะทำให้เสียดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ก่อให้เกิดภาระหนี้สินตามมาและส่งผลให้ติดเครดิตบูโร
หากเราทำการจ่ายเงินล่าช้ากว่าที่ทางธนาคารกำหนดไว้ในใบแจ้งหนี้แม้ว่าจะทำการจ่ายเงินเต็มจำนวนแล้วก็ตาม ในรอบบิลถัดไปก็จะต้องถูกเรียกเก็บค่าบริการนี้ในอัตรา 100 บาท
การใช้บริการบัตรเครดิตในต่างประเทศเนื่องจากสกุลเงินมีความผันผวนขึ้นลงในแต่ละวันไม่เท่ากันดังนั้นทางธนาคารจะลดความเสี่ยงจากการแลกเปลี่ยนสกุลเงินโดย เผื่อเรียกค่าธรรมเนียมไม่เกิน 2.5 % ของยอดการใช้จ่าย
ยกตัวอย่างเช่น
(102.5USD x 33.42 THB/USD) = 3,425.55 บาท
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นข้อมูลสำหรับสำคัญที่ทุกคนต้องทราบก่อนสมัครบัตรเครดิต เพื่อให้สามารถใช้บัตรเครดิตโดยรู้เท่าทันถึงภาระต่างๆที่จะเกิดขึ้น และเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาหนี้สินที่จะตามมาในอนาคตอีกด้วย